เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนกำเนิดพลายงาม มีความยาวประมาณ 1 เล่มสมุดไทย สุนทรภู่แต่งระหว่างพ.ศ. 2365-2367 ในสมัยรัชกาลที่ 2 หลังจากพ้นโทษคือออกจากคุกมาแล้ว เรื่องนี้สุนทรภู่แต่งตามพระบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
1. เหตุที่สุนทรภู่แต่งขุนช้างขุนแผน
สุนทรภู่ได้เข้าสู่สนามกวีอันมีเกียรติอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ โปรดเกล้าฯ ให้ชำระเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ทรงขอแรงพวกกวีชั้นเอกแห่งรัชกาลของพระองค์ช่วยกันแต่งคนละตอนสองตอน และมักปิดนามผู้แต่ง เท่าที่เราทราบจนกระทั่งบัดนี้ ตอนกำเนิดพลายงาม เป็นผลงานของท่านสุนทรภู่ มหากวีที่ชาติเป็นหนี้บุญคุณ เนื่องด้วยขุนช้างขุนแผนเป็นการประกวดประชันกัน สุนทรภู่จึงบรรจงกลอนของท่านอย่างสุดฝีมือ ไม่มีกลอนเรื่องใดของท่านที่ประณีตบรรจงเท่า
2. สังเขปความ
เนื้อเรื่องเฉพาะตอนที่สุนทรภู่แต่งนี้มีว่า วันทองเมื่ออยู่กับขุนช้างนั้น ท้องครบสิบเดือนก็คลอดบุตรชาย เลี้ยงมาจนอายุ9 ขวบ หน้าตาเหมือนขุนแผน วันทองจึงตั้งชื่อว่าพลายงาม ขุนช้าง ก็โกรธว่าเด็กคนนี้มิใช่ลูกตัว แต่เป็นลูกของขุนแผนศัตรูของตน จึงอุบายลวงพลายงามไปในป่าจะฆ่าเสีย แต่ได้ผีพรายของขุนแผนช่วยไว้จึงไม่ตาย แล้วพรายจึงไปกระซิบบอกวันทอง วันทองออกตามหาพลายงามด้วยความละห้อยโหย เหมือนมัทรีตามชาลีกัณหาในที่สุดไปพบลูกกำลังร้องไห้อยู่ พลายงามเล่าความชั่วของขุนช้างให้ฟัง แล้ววันทองก็บอกความจริงแก่ลูกว่ามิใช่ลูกขุนช้าง ส่วนขุนแผนซึ่งเป็นพ่อนั้นกำลังติดคุกอยู่ บอกว่ามีแต่ย่าชื่อทองประศรีอยู่กาญจนบุรี ที่วัดเชิงหวาย จะเป็นที่พึ่งได้ พลายงามก็คิดจะไปพึ่งย่า วันนั้นค่ำแล้ววันทองจึงพาลูกไปฝากสมภารชื่อขรัวนาควัดเขาไว้ วันทองกลับบ้านขุนช้างแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ในเรื่องพลายงาม เมื่อรู้ว่าหายไปก็แสร้งครํ่าครวญจนหลับ รุ่งเช้าวันทองจัดของให้ลูกไปรับลูกที่วัด ลาสมภารแล้วชี้ทางไปเมืองกาญจน์ ครวญครํ่าอย่างน่าปริเทวนา “จะมีผัวผัวก็พลัดกำจัดจาก จนแสนยากอย่างนี้แล้วมิหนำ มามีลูกลูกก็จากวิบากกรรม สะอื้นร่ำรันทดสลดใจ’’ ลูกน้อยกลอยใจก็ปลอบแม่ “แม่รักลูกลูกก็รู้อยู่ว่ารัก คนอื่นสักหมื่นแสนไม่แม้นเหมือน จะกินนอนวอนว่าเมตตาเตือน จะจากเรือนร้างแม่ไปแต่ตัว” วันทองหักอารมณ์อวยพรสั่งสอนลูก และว่า “ลูกผู้ชายลายมือนั้นคือยศ เจ้าจงอตส่าห์ทำสม่ำเสมียน” ตอนพรรณนาที่เด่นที่สุดคือ ตอนแม่ลูกจากกัน เมื่อพลายงามถึงเมืองกาญจน์ รู้กิตติศัพท์จากเด็กๆ ว่าบ้านทองประศรีมีมะยมหวานที่เด็กๆ ชอบไปขโมย ทองประศรีคอยจับเสมอ และ “ร้ายเหมือนกับผีเสื้อแกเหลือตัว ถ้าลูกใครไปเล่นแกเห็นเข้า แกจับเอานมยานฟัดกะบาลหัว” พลายงามจึงให้เด็กเหล่านี้เป็นมัคคุเทศก์พาไปขึ้นมะยมต้นนั้นพร้อมกับเด็กๆ ในที่สุดทองประศรีจึงลงจากเรือนไล่เด็กกระจุยไป ตีไม่ว่าลูกเต้าเหล่าใคร แม้พลายงามจะบอกว่าเป็นหลานมาจากสุพรรณก็ไม่ฟังเสียง พลายงามโดดลงจากต้นมะยมมากราบตีน ก็ไม่วายโดนกระบองทองประศรี นี่เป็นอารมณ์คนแก่ขี้หลง พอทราบว่าเป็นลูกหลานก็ฝนไพลให้ทา อาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย ด้วยความรัก พลายงามจึงเล่าความจริงให้ฟังตลอด ทองประศรีก็ด่าขุนช้างระงมไป พอคํ่าก็จัดการรับมิ่งขวัญหลาน จัดบายศรีและมีเวียนเทียนบทเชิญขวัญมีทั้งไทย ลาว และทวาย พึงสังเกตว่าสุนทรภู่รู้ภาษาเพื่อนบ้านเป็นอย่างดี และเมื่อนำมาไว้ในกลอนยิ่งเป็นหัสบันเทิงสำคัญนัก พลายงามถามย่าถึงเรื่องพ่อ ทองประศรีเล่าว่าติดคุกมา 10 ปีแล้ว รุ่งเช้าก็ขึ้นช้างพาหลานไปหาพ่อที่อยุธยา เดินทาง 2 วันครึ่งจึงถึง ความตอนที่ขุนแผนติดคุกเล่าไว้เป็นนัยดังนี้ ทองประศรีแนะให้รู้จักพลายงาม และเล่าเรื่องขุนช้างทำร้าย ขุนแผนโกรธมากคิดจะไปฆ่าขุนช้าง แต่ทองประศรีให้สติและห้ามไว้ ขุนแผนมอบให้ทองประศรีอบรมพลายงาม ขุนแผนสอนบุตรพร้อมกับความโศกาดูร พลายงามขออยู่ในคุกด้วยเพื่อปรนนิบัติพ่อแล้วทองประศรีก็พาหลานกลับ ไปอบรมสั่งสอนคาถาอาคมต่างๆ จนอายุได้ 13 ปี โกนจุกมีขรัวเกิดสมภารวัดเขาชนไก่ใกล้บ้านเป็นครูขุนแผนมาสวดมนต์ด้วย ท่านว่าขุนแผนว่าแล้วดูพลายงามว่าพลายงามพอผมยาวก็ตัดมหาดไทย คิดจะถวายตัวและทูลขอให้พ่อพ้นโทษ พลายงามไปหาพ่อบอกว่า “ลูกจะใคร่ให้พระนายถวายตัว’’ พอพลบก็พาลูกไปหาพระหมื่นศรีแนะนำให้รู้จักพลายงาม ขอฝากจมื่นศรีเสาวรักษ์ๆ ก็รับอุปการะและอบรมเป็นอย่างดี พลายงามตามหลังพระหมื่นศรีไปวังทุกวัน ถึงวันดีได้ช่องพระหมื่นศรีก็นำพลายงามถวายตัว ว่าเป็นบุตรขุนแผน มีความรู้ และขอรับราชการเป็นมหาดเล็ก
3 ข้อสังเกตกระบวนกลอน
ว่าถึงกระบวนกลอนในตอนกำเนิดพลายงามนี้เป็นลักษณะแห่งศิลปะของสุนทรภู่โดยแท้ คือเป็นกลอนที่เต็มไปด้วยสัมผัสในอันเพราะพริ้งยิ่งนัก โดยตลอดเราจะเห็นวรรคละ 8 คำล้วน นี่เป็นลักษณะที่สุนทรภู่ใช้เขียนเรื่องของท่าน เช่น โคบุตร พระอภัย และลักษณวงศ์ เป็นกระบวนกลอนที่เหมาะสำหรับเรื่องประโลมโลกของท่านโดยเฉพาะเมื่อสุนทรภู่มาเขียนกลอนเสภา มีเสียงกล่าวกันว่า ศิลปะของท่านขัดกับลีลาของเสภา กล่าวคือ เสภาเป็นบทสำหรับขับร้อง (และบางทีมีการรำด้วย) ให้เหมาะเจาะกับกิริยาอาการและอารมณ์ต่างๆ เช่น รัก โศก และดุดัน การใช้คำในวรรคหนึ่งๆ ก็ย่อมต้องเกี่ยวกับอารมณ์อันแสดงออก อาจเป็นวรรคละ 6-7 คำเหมาะก็มี ไม่ต้องถึง 8 คำเสมอไป กลอนเสภาที่ดีจึงนิยมคำมากบ้างน้อยบ้าง เพราะเกี่ยวกับการเอื้อนและจังหวะกรับ จังหวะรำ ให้กลมกลืนกันพอดี จงสังเกตกลอนเสภาที่ชอบขับกันมากคือพระราชนิพนธ์รัชกาลที่2หรือสำนวนของครูแจ้ง จะเห็นได้ว่ามีลักษณะดังกล่าวนี้ส่วนของสุนทรภู่เป็นกลอน 8 ล้วน จึงขับเสภาได้ไม่สนิทสนม อาจขัดกับลีลาของศิลปะแห่งเสภาดังที่มีผู้กล่าวไว้กระมัง
อ้างอิง
https://www.youtube.com/watch?v=Va8ucGzaHO0&t=6s